สุดยอดมากๆ ผมเห็นด้วย 10000000%
ว่ากันว่า คนที่มองเห็นภาพความสำเร็จในอนาคตได้อย่างชัดเจน มีโอกาสประสบความสำเร็จได้จริงมากกว่าคนทั่วไปที่มองไม่เห็น หรือเห็นไม่ค่อยชัด ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ..
ทฤษฎีจิตใต้สำนึกหรือ NLP อธิบายประมาณว่า จิต อันเป็นที่เกิดแห่งความรู้สึกสามารถเดินทางข้ามมิติของเวลาได้ การส่งจิตไปรับอารมณ์ของความสำเร็จในอนาคตล่วงหน้า ทำให้เกิดปรากฏการณ์เหนี่ยวนำย้อนกลับ ให้ปัจจุบันสร้างเงื่อนไขให้เป็นไปตามภาพความสำเร็จในอนาคตที่เห็นนั้น หรือที่เรียกกันว่ากฎของแรงดึงดูด
ยกตัวอย่างเช่น นักเขียน ที่มองเห็นภาพงานเขียนของตนเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน จะเกิดความรู้สึกอยากลงมือเขียนมากกว่าคนทั่วไปที่มองไม่เห็น ยิ่งถ้าเห็นเป็นภาพการตอบรับจากผู้อ่านที่ดี ความรู้สึกอยากลงมือเขียนก็จะยิ่งแรงตามไปด้วย หรือ นักธุรกิจ ที่มองเห็นภาพธุรกิจของตนประสบความสำเร็จ จะเกิดความรู้สึกมุ่งมั่นในการก่อร่างสร้างธุรกิจมากกว่าคนที่ภาพนั้นเบลอๆ หรือแม้กระทั่งการสร้างภาพบ้านในฝันราคาสิบล้าน ภาพรถยนตร์หรู ภาพคนมาห้อมล้อมชื่นชม ก็เชื่อว่าจะสร้างแรงจูงใจได้ไม่แพ้กัน
จะเห็นว่าการอธิบายลักษณะนี้เป็นที่นิยมกันมากในหนังสือฮาวทู เหล่ากูรูหรือเทรนเนอร์น้อยใหญ่ก็มักนำมาใช้สร้างแรงบันดาลใจ เพราะฟังดูโลกสวย หวือหวา น่าตื่นเต้น และน่าจะทำได้ไม่ยาก แค่คิด จินตนาการให้ชัด ก็จะดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามาหาเรา
แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือการพูดเพียงด้านเดียว ซึ่งตรงนี้เองทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและหลงทางได้ เพราะที่แท้นั้น การสร้างภาพอนาคตก็คือการปรุงแต่งชนิดหนึ่งของจิตนั่นเอง
ประเด็นก็คือ จิตที่ปรุงแต่งเป็นภาพของเป้าหมายหรือความสำเร็จนั้น ถึงที่สุดแล้วก็ยังเป็นเพียงมายาหรือภาพลวงตา ซึ่งเกิดจากกิเลสตัณหา หากเรายึดมั่นกับภาพนั้นจนละเลยความเป็นจริงในปัจจุบัน (ซึ่งไม่ได้สวยงามดังเช่นภาพฝันที่สร้างขึ้น) ทั้งหมดก็จะกลายเป็นเพียงความเพ้อเจ้อ ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยทันที กระทั่งอาจทำให้เกิดอารมณ์เชิงลบที่เป็นผลเสียด้วยซ้ำ
อย่าลืมว่า จิตนั้นไม่ได้อยู่ใต้บงการของเรา ดังนั้น มันจึงสามารถผลิตสิ่งที่เราไม่ปรารถนาเพื่อให้เข้ามาครอบงำสมองเราได้ ส่งผลให้สมองผลิตความคิดตามที่จิตบงการ กลายเป็นความคิดจร ความคิดขยะ หรือความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิด เช่น ความขี้เกียจ ความเครียด วิตกกังวล เบื่อหน่าย หงุดหงิด ท้อถอย (ภาษาพระท่านเรียกว่า นิวรณ์5) ซึ่งสกัดกั้นและบั่นทอนแรงขับเคลื่อนของเรา
ประเด็นทั้งหมดก็คือ อาวุธสำคัญที่เป็นตัวชี้เป็นชี้ตายที่แท้จริงก็คือ สติ แม้เราจะจินตนาการ สร้างภาพ หรือส่งจิตไปรับอารมณ์ในอนาคต แต่ในที่สุด เราก็ต้องใช้สติดึงตัวเองให้กลับมาลงมือทำที่ปัจจุบัน และสตินี่เองที่เป็นตัวป้องกันไม่ให้จิตเข้ามาบงการสมองให้ผลิตความคิดเชิงลบดังที่กล่าวมา
จากนั้นก็ต้องใช้สมาธิ เพื่อให้เราจดจ่อในสิ่งที่จะทำอย่างต่อเนื่อง และต้องใช้ปัญญา เพื่อให้การลงมือทำนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องครบถ้วนกระบวนความ (ขั้นตอนนี้นำทีมโดย สัมมาทิฏฐิ-ทัศนคติหรือความเข้าใจที่ถูกต้อง)
ดังนั้น การสร้างเป้าหมายหรือภาพความสำเร็จ จึงเป็นเพียงการปักหมุดหมาย เพื่อให้รู้ว่าเราจะเดินไปไหน ไปทิศทางใด ทำให้ไม่เดินสะเปะสะปะ วกวน สิ้นเปลืองแรงโดยใช่เหตุ (อย่าโง่ อย่าเผลอ อย่าพลาด ให้เป้าหมายกลายเป็นเหตุให้เราทุกข์โดยเด็ดขาด)
จากนั้นเราก็ต้องกลับมาจดจ่อที่ปัจจุบัน ใส่ใจวิธีการ ลงมือทำ โดยมีสติกำกับให้เกิดความรู้ตัว ไม่เผลอให้ความคิดจรเข้ามาแทรก หรือหากเผลอถูกความคิดจรเข้ามาก่อกวนจนทำให้สมาธิสะดุด ขาดความต่อเนื่อง ก็ต้องใช้สติดีดความคิดจรออกไป แล้วกลับมาจดจ่ออย่างต่อเนื่องใหม่ และในทุกขั้นตอนของการลงมือ ก็ต้องควบคุมคุณภาพด้วยปัญญา (ศึกษาและประยุกต์ใช้ได้จาก อริยสัจ4 อิทธิบาท4 มงคล38 เป็นต้น)
ด้วยการลงมือทำดังนี้ แม้จะไม่สำเร็จดังที่ตั้งใจ หรือไปไม่ถึงเป้าหมายหรือภาพที่ฝันไว้ ก็ไม่ค่อยทุกข์หรืออนาทรร้อนใจใดๆ ใจเราจะโปร่งๆ โล่งๆ เบาสบาย ซึ่งตรงจุดนี้เองคือการบรรลุเป้าหมายที่แท้จริง